ค้นหาตน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
สอนให้ค้นหาตัวเอง การค้นหาภายนอกจะไม่พบอะไรเลย ศาสนาพุทธให้ค้นหาจากภายใน อภิญญาเกิดขึ้นจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเรียนเรื่องสมาบัติ สมาบัติเกิดขึ้น เกิดให้คู่กับอภิญญา สมาบัติความสงบของใจ อภิญญามันแก้กิเลสไม่ได้ มันทำอะไรไม่ได้ มันจะไม่มีประโยชน์ มันเป็นของเครื่องเคียง ของเครื่องเคียงไม่ใช่ของจริง ของจริงคือค้นคว้าตัวเราให้ได้ก่อน ทำตัวเราให้ได้ เราทำบุญกุศลกันนี่เพื่อให้มันสั้นเข้ามา กระแสของใจเราเคยไปเที่ยวไหนมานี่เราคิดถึงมันจะตกที่นั่นทันทีเลย ความคิดของเราจะตกที่นั่น ความคิดเรานี่ครอบ ๓ โลกธาตุ
แล้วเรื่องการทำทาน ทำศีล ภาวนานี่ เพื่อจะให้ใจมันคับแคบเข้ามา ให้มันลดหดเข้ามาสั้นเข้ามา สั้นเข้ามาเพื่อจะค้นคว้าตัวเองไง จิตสำคัญคือค้นคว้าตัวเองก่อน สมาบัติได้อภิญญาหกนี่ พระอรหันต์นี่ได้อภิญญาหก ได้สมาบัติ ได้อภิญญา ๕ นี่มีเยอะแยะไป แต่ได้อภิญญานี้ต่อเมื่อทำกิเลสสิ้นออกไปจากใจแล้ว ถึงจะได้พวกอภิญญามา ถ้าได้พวกอภิญญามา อภิญญานี่มันของข้างเคียง ถ้าไปเดินเรื่องอภิญญานั้น จะไม่ได้อะไรเลย
เทวทัตเหาะเหินเดินฟ้าได้ เทวทัตได้ฌานโลกีย์ ถ้าเทวทัตได้ฌานโลกีย์นี่เหาะไปไหนก็ได้ เห็นไหม แต่เวลาลาภเกิดขึ้น เพราะอะไร? เพราะเทวทัตเห็นเขามานี่ นางวิสาขาเวลามาเยี่ยมนี่ เวลามีของติดมือมา ฝากพระอานนท์ ฝากพระองค์นั้น ฝากพระองค์นี้ แต่พระเทวทัตไม่ได้ นี่เหาะเหินเดินฟ้าได้ แต่ก็ไปติดในลาภสักการะ จะมีอภิญญาขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้าใจมันแกว่งมันไกวหน่อยเดียวนี่มันจะหลุดออกไป ถ้าใจหลุดออกไปนี่สิ่งนั้นจะเสื่อมทันที แล้วจะทรงไว้อย่างนั้นน่ะ เป็นไปไม่ได้เลย
ถ้าเป็นไปได้ มันต้องทำความสงบของใจขึ้นมาก่อน ถ้าทำความสงบของใจขึ้นมานี่ มันจะเกิดขึ้นได้ชั่วครั้งชั่วคราว อย่างเช่นเวลาไปหาครูบาอาจารย์ที่พาไปเที่ยวสวรรค์ไปเที่ยวนรก เห็นไหม เวลาบอกว่าให้กำหนดดูแล้วจะไปเที่ยวสวรรค์นรก มันจะไปได้ด้วยความจินตนาการ ด้วยความเห็นของผู้ที่ว่าให้โน้มนึกไป ให้นึกถึงเมื่อวาน ให้นึกถอยหลังไป ๆ ความนึกถอยหลังไปนี่ มันนึกไป ความนึกไปนี่มันเป็นได้ชั่วครั้งชั่วคราว มันจะจับได้เป็นชั่วครั้งชั่วคราว
มันจะเป็นไปไม่ได้เลย จะทรงอภิญญาไว้ไม่เชื่อ ไม่เชื่อเพราะอะไร? เพราะจิตนี้เป็นการรักษาที่ยากที่สุด ในเมื่อยังค้นคว้าตัวเองไม่เจอ ยังหาตนเองไม่เจอ ถ้าหาตนเองเจอแล้วรักษาตนเองได้ไว้ก่อน แล้วถ้าค้นคว้าตัวเองนี่ ตรงนี้สำคัญที่สุด สำคัญที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนกลับมาให้ค้นหาตัวเอง ให้ค้นหาตัวเองให้เจอตัวเอง ค้นหาตัวเองนี่ทำสัมมาสมาธิขึ้นมา ได้ความสงบของใจ ยังไม่รู้จักตัวเองนะ ยังส่งออกไปข้างนอก ยังไปรับรู้สิ่งข้างนอก
ถ้าหากไปรับรู้สิ่งข้างนอกแล้วจะไม่รู้สิ่งใดเลย จะไม่เข้าใจสิ่งใดเลย มันจะเป็นไปอย่างนั้น แล้วมันส่งออก กระแสมันส่งออก ภาวนาส่งออกจะไม่ได้ประโยชน์ ของเรื่องอย่างนี้ถ้าได้อภิญญา ความได้อภิญญา เห็นไหม สิ่งที่อภิญญานี่เป็นของที่ว่ามันได้มาเป็นของแถม ถ้าใจเราสงบขึ้นมา ใจเราเป็นสัมมาสมาธินี่มันเกิดขึ้น แล้วถ้าใจเราคิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์แต่ละบุคคลนี่ ทำความสงบของใจตัดกิเลสออกไป ความอยากออกจากใจไปแล้ว ความอยากรักษาใจไว้ได้ ใจนี่เป็นสิ่งที่ควรแก่การงาน ควรแก่การงานนี่มันออกไปอภิญญามันก็เข้าอภิญญาได้ง่าย เห็นไหม มันรักษาสิ่งนั้นไว้ไม่ได้
ถ้าใจเราสงบแล้วนี่ สิ่งนั้นมันจะเกิดขึ้น ถ้าจะเอาอภิญญาไปเป็นหลัก เห็นไหม อภิญญาถึงไม่ใช่หลัก หลักคือสติปัฏฐาน ๔ การค้นคว้า การพยายามรักษาใจ การค้นคว้า การชำระกิเลสในสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม อันนี้ต่างหากเป็นหลัก หลักมันอยู่ตรงนี้
แต่ถ้าเราบอกว่าอภิญญาเป็นหลัก หรือว่าประพฤติแล้วจะได้อภิญญานั้น หลงทาง! หลงทางแล้ว เข้าป่าแล้ว เข้าป่าออกไปเลย จะไปสิ่งนั้นไป แล้วมันจะเกิดขึ้น เห็นไหม ที่ว่าเด็กคนนั้นได้ คนไหนจะได้ มันได้ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะอะไร? เพราะจิตมันสงบชั่วครั้งชั่วคราว จะรักษาจิตให้สงบไว้นี่มันสิ่งที่ทำได้ยาก จะรักษาจิตไว้ให้สงบได้ยากเพราะอะไร? เพราะกิเลสมันยุแหย่ในหัวใจ กิเลสความคิดของเรานี่ ความอยาก ความทะยานอยาก ความเห็นของเรา ความตรึกของเรา ในหัวใจนี่มันอุ่นกินอยู่ในใจตลอดเวลา
แล้วมันจะรักษาไว้ได้อย่างไร การรักษาได้ ความชำนาญในทำสมาธิ ยอมรับอยู่ อาฬารดาบส อุทกดาบส เห็นไหม จะรักษาความสงบอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษานี่ เขาจะกำหนดได้ แล้วเขาทำได้ เขารักษาไว้อย่างนั้นได้ แต่รักษาไว้ได้ มันก็รักษาไว้ได้ รักษาไว้ได้มันก็ยังเสื่อมได้ อย่างยกเทวทัตนี่ เทวทัตก็เหาะได้เหมือนกัน เทวทัตนี่เหาะไป ไปหาอชาตศัตรูนี่เหาะไปเลย
นั่นน่ะสิ่งนี้มันไม่ใช่เป้าหมาย ถ้าเราชี้ว่าเป้าหมาย เริ่มต้นสอนนี่เป้าหมายก็ผิดแล้ว ถ้าเป้าหมายผิดแล้วจะเอาอะไรสิ่งที่ถูกต้องมาจากไหน สิ่งนั้นเกิดขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเรียนมาจากอาฬารดาบสนี่ มันเกิดขึ้นมาก่อนที่พุทธศาสนาเราจะเกิดอีก ก่อนที่พุทธศาสนาจะเกิดสิ่งนั้นก็มีอยู่แล้ว สิ่งนั้นมีอยู่แล้วแล้วไม่สามารถชำระกิเลสได้ มันเวียนตายเวียนเกิด
สิ่งที่ใจนี่มันพัฒนาได้ มันเสื่อมได้ มันเป็นอย่างนั้น แล้วเราก็ไปติดกับสิ่งที่พัฒนาแล้วเสื่อม มันจะเป็นสิ่งที่เป็นความจริงเป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หมายถึงว่ามันไม่เป็นความจริง ธรรมชาติกิเลสในศาสนาพุทธ มันเป็นไปได้ตามของเขา มันเป็นไปได้ถึงว่าเป้าหมายมันคลายไปไง เป้าหมายมันเปลี่ยนเป้าหมายไป เป้าหมายไปเอาฤทธิ์เอาเดช เป้าหมายไม่ได้ชำระกิเลส
เป้าหมายชำระกิเลสนี่ต้องค้นคว้าตน การทำทาน ศีล ภาวนา เห็นไหม มีทานนี่ ทานเพื่ออะไร? เพื่อให้มันกระตุกตัวเอง กระตุกให้ตัวเองคิดถึงเรา ถ้าเห็นเรา ค้นคว้าเรา จับต้องเราได้ เห็นไหม ค้นคว้าเรา คิดถึงเราให้มันแคบเข้ามา ให้คิดถึงเรา ให้ค้นคว้าหาเรา ให้ใจมันสงบเข้ามา มันย่นเข้ามาจากความคิดที่มันคิดแต่เรื่องต่าง ๆ เห็นไหม จะไปเกาะเรื่องวัตถุ จะไปเกาะเรื่องสิ่งใด ใจมันคิดสิ่งใดมันไปเกาะสิ่งนั้นทั้งหมด
ไม่ให้คิดสิ่งนั้น ให้ย้อนกลับมาคิดเรื่องตัวเรา ให้ย้อนกลับมาหาตนเอง แล้วตนเองก็จับต้องไม่ได้ ไม่มีเลย ทำความสงบของใจถ้าจิตมันสงบเข้ามา ๆ มันสงบเข้ามานั่นน่ะเห็นตน แต่เห็นตนนะ ความจริงมันรู้จักตน แต่ไม่รู้จัก ความจริงรู้จักตนเห็นไหม ความสงบเข้ามา คำว่าไม่รู้จักคือว่า ไม่เห็นมันอยู่ตรงไหนไง ความไม่เข้าใจว่ามันจับต้องได้อย่างไรไง มันสงบแล้วมันควรจะทำอย่างไรต่อไปไง
มันถึงต้องมีมรรคอริยสัจจัง ความเห็นถูกต้องมันอยู่ตรงนี้ ตรงยกขึ้นวิปัสสนาต่างหาก ตรงยกขึ้นวิปัสสนาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ถ้ายกขึ้นพิจารณาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรมนี่ นั่นน่ะชำระกิเลส สิ่งนี้ต่างหากพระพุทธเจ้าสอน สิ่งนี้ต่างหากที่จะเป็นความถูกต้อง สิ่งนี้ต่างหากที่เราทำแล้วมันจะเป็นประโยชน์
แล้วมันคงที่ มันถาวร มันสิ่งที่ว่า มันพอชำระกิเลสแล้วมันจะชำระกิเลสตลอดไป มันจะไม่สามารถ มันขาดหมดสิ้นไปจากใจ ถ้าอย่างนั้นแล้วมันกลบเกลื่อน ความกลบเกลื่อนมันก็เป็นแสวงหา เป็นความสุขความทุกข์อยู่อย่างนั้น มันกลบเกลื่อนใจไป แล้วมันจะวนไปอยู่อย่างนั้น แล้ววนไปมันก็อยู่ในวัฏฏะ ในหลักของศาสนาสอนเรื่องหลักความจริงอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้ว อันนี้ถ้าเราจับต้องสิ่งนี้ได้ เราประพฤติปฏิบัติได้ เราจะทำได้
แต่เราจะย้อนกลับไปเอาเรื่องอภิญญานั้นมันเป็นเรื่องรอง เรื่องรองมันไม่ใช่ว่ามันไม่มี มันมีอยู่ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่จะอาศัยได้จริง มันไม่ใช่สิ่งที่อยู่กับเราจริง มันอยู่กับเราชั่วคราว ๆ ชีวิตนี้ก็อยู่ชั่วคราว เกิดมาแล้วก็ต้องตายนี่ก็ชั่วคราว สิ่งที่เป็นของชั่วคราวเราก็จะไปแสวงหาของชั่วคราว ไปหาของที่พึ่งไม่ได้ไง สิ่งนั้นเป็นอนิจจัง เห็นไหม ตัวมันเองก็เป็นอนิจจัง แล้วเราก็เป็นอนิจจัง แล้วจะไปจับต้องสิ่งนั้นน่ะ มันก็เคลื่อนกันไป ๆ แต่สิ่งเราเป็นอนิจจัง เห็นไหม
แต่ถ้าชำระกิเลสแล้วมันเป็นสิ่งที่ว่า จะว่านิจจังมันก็มีอยู่ แต่นิจจังกับอัตตามันคนละอย่างกัน อัตตานี่คือความยึดมั่นถือมั่น แต่ชำระกิเลสแล้วมันมีอยู่ นิจจังก็ได้ มีอยู่แล้วมันสามารถแสวงหาตนเจอ เจออย่างนี้ นี่ค้นคว้าตนไง ค้นคว้าตนเจอตั้งแต่ความสงบเข้ามา... (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)